ขั้นตอนนี้ทั้งช่วยดูดซับความชื้นและดับกลิ่น แต่ใช้ได้กับราบางๆ เท่านั้น ถ้าเป็นราเยอะต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย ให้โรยเบคกิ้งโซดาบริเวณที่ขึ้นราเยอะๆ เลย จากนั้นทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วค่อยดูดฝุ่น หรือใช้แป้งเด็กแบบไร้สารทัลคัม (Talc) แทน ที่ต้องเลือกเพราะทัลคัมถ้าสูดดมเข้าไปอาจเป็นอันตรายร้ายแรง [1] หรือใช้ทรายแมวแทนก็ได้ 5 ขัดด้วยน้ำส้มสายชูกลั่นขาว. ถึงน้ำส้มสายชูจะฆ่าราไม่ได้ทุกสายพันธุ์ แต่ข้อดีคือราคาถูกและเห็นผลชัดเจน ถ้าจะใช้น้ำส้มสายชูขจัดคราบ ก็ให้ใช้ขวดสเปรย์ฉีดบางๆ แล้วขัดด้วยแปรงแข็งๆ จากนั้นเป่าจนพรมแห้ง หรือเปิดประตูหน้าต่างผึ่งลมไว้ ไม่ให้เหลือความชื้นส่วนเกินจนขึ้นราหนักกว่าเดิม บางคนก็ว่าผสมน้ำส้มสายชูกับเมทิลแอลกอฮอล์ (methylated spirits) ในสัดส่วนที่เท่ากันแล้วใช้ได้ผล โฆษณา 1 ใช้น้ำยากำจัดรา.
น้ำยาทำความสะอาดพรมที่ผสม deodorizer หรือสารดับกลิ่น จะช่วยขจัดกลิ่นอับชื้นพร้อมกำจัดเชื้อราไปในตัว ให้ทำตามคำแนะนำการใช้งานอย่างเคร่งครัด โดยจะแตกต่างกันไปตามผลิตภัณฑ์ บางคนก็ว่าใช้น้ำยาทำความสะอาดพรมยี่ห้อ Vanish แล้วได้ผล ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี chlorine dioxide อย่างระวัง. น้ำยากำจัดเชื้อราบางตัวจะมี chlorine dioxide ซึ่งบอกเลยว่าอาจกัดสีพรมด่างได้ ให้ทดสอบแค่มุมเล็กๆ ของพรมที่ปกติซ่อนอยู่ใต้เฟอร์นิเจอร์ก่อน และใช้ตามคำแนะนำที่ฉลากอย่างเคร่งครัด บางผลิตภัณฑ์ก็อาจจะต้องใช้เครื่องซักพรมร่วมด้วย เพื่อกำจัดน้ำยาหลังใช้ ต้องระบายอากาศให้ถ่ายเทก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี chlorine dioxide เพราะไอระเหยจะระคายเคืองดวงตาและปอดได้ ถ้ารู้สึกหายใจติดขัดหรือเริ่มไอ ให้รีบออกไปห้องอื่นก่อน [3] เช่า ซื้อ หรือยืมเครื่องซักพรมมา. ลองศึกษาในเน็ตเพิ่มเติมเรื่องเครื่องซักพรม (steam cleaner) เพราะใช้ขจัดเชื้อราติดทนได้แบบเห็นผล แต่หลังจากซักพรมแล้วสำคัญว่าต้องรีบทำให้พรมแห้งทันที ไม่งั้นน้ำตอนซักพรมจะขังจนรากลับมาอีก อาจจะเอาไดร์เป่าหรือ ตากพรมให้โดนแดดเต็มๆ หรือใช้พัดลมจ่อก็ได้ อย่าซักพรมเองโดยไม่มีเครื่องซักพรมโดยเฉพาะ เพราะถ้าใช้ไอน้ำหรือน้ำร้อนราดพรมผิดวิธี พรมอาจจะหดหรือเสียหายได้ 5 ใช้บริการรับซักพรม.