1. แบคทีเรียมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากเกินไป แบคทีเรียที่ผลิตแก๊สโดยปกติมักพบได้ในลำไส้ใหญ่ และส่วนน้อยพบได้ในลำไส้เล็ก SIBO (หรือภาวะจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเจริญเติบโตมากผิดปกติ) คือการที่แบคทีเรียในลำไส้เล็กมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การสะสมของน้ำตาล ทำให้แก๊สถูกสร้างขึ้นมากเกินไป 2. การกลืนอากาศ พวกเราอาจมีการกลืนอากาศผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การเคี้ยวมันฝรั่ง สูบบุรี่ หรือดื่มน้ำโดยใช้หลอดดูด ทำให้แก๊สสะสมในทางเดินอากาศส่วนบน แก๊สเหล่านี้สามารถทำการขับออกได้โดยการเรอ 3. กระเพาะอาหารบีบตัวช้า ภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้า และลำไส้อุดตัน อาจทำให้ระบอบย่อยอาหารทำการย่อยอาหารนานกว่าปกติ ซึ่งทำให้น้ำตาลอยู่ในลำไส้นานขึ้น และก่อให้เกิดการสะสมแก๊สในที่สุด 4. การดูดซึมคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าปกติ บางคนอาจมีปริมาณเอนไซม์น้อย ซึ่งเอนไซม์มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตที่พบได้ทั่วไป เช่น แลคโตส สามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์นม และฟรักโตส สามารถพบได้ในผลไม้ คนที่มีปริมาณเอนไซม์แล็กเทสน้อย จะนำมาสู่การแพ้อาหารที่มีแลคโตส 5. การอุจจาระเป็นก้อนแข็ง หรือท้องผูก ท้องผูกอาจเกิดจากการที่กระเพาะบีบตัวช้า ซึ่งทำให้ของเสียอยู่ในลำไส้นานขึ้น 6.
- อาการเรอเกิดจากอะไร สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และวิธีป้องกัน | Honestdocs | Line Today เรอบ่อย ผายลมมากผิดปกติ สัญญาณว่าจะเกิดโรคหรือเปล่า? : PPTVHD36 สะอึกเกิดจากอะไร อาการ วิธีการแก้ | HD สุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ ชัวร์ก่อนแชร์: เรอบ่อยๆ เป็นสัญญาณบอกโรคจริงหรือ? - YouTube มีลมในท้องมาก แน่นท้อง รักษาแบบเร่งรัดด้วยวิธีใด | HD สุขภาพดี เริ่มต้นที่นี่ อยู่ ๆ เท้าก็บวมขึ้นมาจนสังเกตได้ชัด แล้วอาการเท้าบวมเกิดจากอะไร บ่งชี้ถึงโรคที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเราได้หรือไม่ ลองเช็กอาการกัน จากเท้าขนาดปกติอยู่ดี ๆ ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเท้าบวมขึ้นมา โดยอาจจะมีอาการเท้าบวมข้างเดียว หรือบวมทั้งสองข้างแต่ไม่เท่ากันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ว่าแต่สาเหตุของเท้าบวมเกิดจากอะไร อาการนี้ส่อสัญญาณของโรคใดได้บ้าง หากใครมีอาการ เท้าบวม ก็ลองมาหาคำตอบเลย 1. อ้วนขึ้น ถ้าช่วงนั้นมีพฤติกรรมกินมากเกินไป จนน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็ทำให้เท้าบวมได้ เพราะเท้าต้องแบกรับน้ำหนักร่างกายมากขึ้น 2. มีภาวะบวมน้ำ บางคนมีภาวะบวมน้ำแบบไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเกิดจากรับประทานอาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป ดื่มน้ำน้อยเกินไป โดยอาการเท้าบวมจะเกิดขึ้น 2 ข้างพร้อมกัน และเท้าจะบวมไม่มากนัก แบบเมื่อใส่รองเท้าคู่เดิมก็อาจจะคับขึ้นมาจนรู้สึกได้ ดังนั้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง และดื่มน้ำให้มากขึ้น - บวมน้ำหรืออ้วน ชวนให้สงสัย แล้วแก้ยังไงให้หายบวม!
กินหรือดื่มช้าลง คุณมีโอกาสน้อยที่จะกลืนอากาศ อย่ากินของอย่างบร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์จากนม อยู่ห่างจากโซดาและเบียร์ อย่าเคี้ยวหมากฝรั่ง หยุดสูบบุหรี่. เดินเล่นหลังรับประทานอาหาร ทานยาลดกรด.
หลายคนคงสงสัยว่า เป็นกรดไหลย้อน กี่วันหาย? เป็นกรดไหลย้อน รักษานานไหม? เป็นกรดไหลย้อนบ่อย กินยาลดอาการกรดไหลย้อนแล้ว แต่ก็ไม่หายสักที หรือหายแล้ว ก็กลับมาเป็นซ้ำอีก สาเหตุเป็นเพราะอะไร? เราขอตอบแบบชัดๆ ทีละข้อ ดังนี้ ถาม: เป็นกรดไหลย้อน กี่วันหาย แล้วเป็นกรดไหลย้อน รักษานานไหม? ตอบ: หากคุณมีอาการกรดไหลย้อนเริ่มต้น ไม่ได้รุนแรงมากนัก เราแนะนำให้ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และ การใช้ชีวิต พร้อมกับทานสมุนไพรแก้กรดไหลย้อน เช่น ขมิ้นชัน, ขิง, มะตูม หรือ รับประทานยาสมุนไพรรักษากรดไหลย้อน ไม่เกิน 2 สัปดาห์ กรดไหลย้อนก็หายเป็นปกติแล้ว แต่หากเป็นกรดไหลย้อนระยะที่ 2 – 3 หรือ มีอาการกรดไหลย้อนเรื้อรัง ก็จำเป็นต้องใช้ระยะเวลารักษา นานพอสมควร ประมาณ 1 เดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคนั่นเอง ถาม: เป็นกรดไหลย้อนบ่อย กินยาลดอาการกรดไหลย้อน แต่ก็ไม่หายสักที บางทีกินแล้ว ก็กลับมาเป็นซ้ำ สาเหตุเพราะอะไร? ตอบ: สาเหตุที่เป็นกรดไหลย้อนบ่อย กินยาไม่หายสักที หรือ กินแล้วกลับมาเป็นซ้ำ นั่นเป็นเพราะว่า คุณรักษาอาการกรดไหลย้อนผิดวิธี ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหากว่าคุณมีอาการดังนี้ แสดงว่าเป็นกรดไหลย้อนเรื้อรังเข้าแล้ว กรดไหลย้อนขึ้นคอ อาการมาพร้อมกับกลืนอาหารลำบาก กลืนอาหารแล้วเจ็บคอ ไอเรื้อรัง อาเจียนบ่อย หรือ อาเจียนเป็นเลือด จุก เสียด แน่นหน้าอก แสบกลางอก เรอเปรี้ยว ขมคอ หายใจไม่เต็มอิ่ม หรือ หายใจลำบาก อ่อนเพลียตลอดเวลา สมองตื้อ ปวดศีรษะบ่อย รู้สึกเครียด วิตกกังวลง่าย นอนหลับไม่สนิท มีอาการตัวซีด น้ำหนักลด ถาม: เป็นกรดไหลย้อนบ่อย ต้องทำอย่างไรดี?
กระทู้คำถาม พอดีว่าผมอยากเล่น call of duty แล้วมันติดปัญหาที่สามารถเล่นได้ครั้งเดียวพอปัดออกก็จะเข้าเกมไปเล่นไม่ได้มันเกิดจากอะไรครับมีคลิปครับ ปล. มือถือรุ่น POCO X3PRO 0 แสดงความคิดเห็น คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ กระทู้ที่คุณอาจสนใจ อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ เกม Call of Duty
ท้องอืด เรอบ่อย สัญญาณเตือนเสี่ยง 'มะเร็งกระเพาะอาหาร' มะเร็งกระเพาะอาหาร – แม้ว่าอาการท้องอืด เรอบ่อย แสบร้อนทรวงอก แน่นท้อง คลื่นไส้ อาจจะเป็นอาการปกติที่หลายคนประสบ แต่รู้หรือไม่ว่า นี่อาจจะเป็นอาการแรกเริ่มของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็น 1 ใน 10 ของมะเร็งที่คนไทยพบกันมากที่สุด และยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั่วโลก จากการรายงานขององค์การอนามัยโลก ผศ. นพ. ธัชธรรม์ สุขสมบูรณ์เจริญ หน่วยโรคมะเร็ง ภาควิชาอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยว่า โรคมะเร็งกระเพาะอาหารนั้น ระยะแรกเริ่ม มักท้องอืด ไม่อยากอาหาร ก่อนจะพัฒนาทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง โดยเฉพาะช่องท้องบริเวณส่วนบนและตรงกลาง มีเลือดปนอุจจาระ อาเจียนเป็นเลือด น้ำหนักลด อ่อนเพลีย หรืออาจมีแผลในกระเพาะอาหาร ไวรัสลงกระเพาะ โดยมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียเอช. ไพโลไร ในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ส่วนต้น การอักเสบของกระเพาะอาหารเรื้อรัง จากการกินอาหารบางชนิด เช่น ปิ้งย่าง รมควัน รสเค็ม หมักดองและสูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอลล์เป็นประจำ รวมไปถึงพันธุกรรม ผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป จึงควรตรวจร่างกายอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า และพบในชาวเอเชีย และผู้มีเลือดกรุ๊ปเอ มากกว่ากรุ๊ปอื่น แต่อาการเหล่านี้ อาจพบเป็นโรคอื่นอย่าง โรคกระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน ก็เป็นได้ ทำให้บางรายต้องมีความต่อเนื่องในการติดตามอาการเพื่อวินิจฉัยโรค กระเพาะอาหารอักเสบ ผศ.
การใช้ยาบางชนิด ยาปฏิชีวนะบางชนิดฆ่าแบคทีเรียทั้งชนิดที่ดีและไม่ดีออกไปจากร่างกายเรา ซึ่งอาจเป็นการรบกวนการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ การใช้ยาปฏิชีวนะในระยะยาวจึงมีโอกาสทำลายระบบตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ยาลดกรด แอสไพริน และยาแก้ปวดพวกชนิดก็ทำให้เกิดอาการท้องอืดได้เช่นกัน 7. โรคหรืออาการประจำตัวต่างๆ ตัวอย่างเช่น กลุ่มคนที่มีโรค IBS และโรคกระเพาะอาหารแปรปรวนจะมีอาการท้องอืดและปวดท้องเป็นประจำอยู่แล้ว รวมถึงผู้หญิงที่มีโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) ก็จะมีอาการเหล่านี้เช่นกัน และอาจรุนแรงขึ้นช่วงที่มีประจำเดือน ตอนนี้เราก็รู้สาเหตุของอาการท้องอืดและการเกิดแก๊สกันแล้ว อย่าลืมอ่าน บทความพาร์ท 2 ที่จะมีเคล็ดลับการลดและป้องกันท้องอืดกันด้วยนะ!